เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์บราซิล ย่อมไม่อาจละเว้นบุคคลสำคัญอย่าง “ลุยส์ กอนซากาส” นายทหารเรือผู้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์สำคัญของประเทศ นั่นคือ การก่อการกำเริบของทหารเรือบราซิลในปี ค.ศ. 1920 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Revolta da Armada”
ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปยังยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งบราซิลเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป กำลังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ในขณะนั้น ประเทศบราซิลปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยค่อนข้างอ่อนแอ และมีการฟักตัวของกลุ่มการเมืองที่ต่างกันออกไป นายทหารเรือหลายนายรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญแก่พวกเขาและไม่สนับสนุนด้านสวัสดิการและค่าจ้างอย่างเพียงพอ
ลุยส์ กอนซากาส เป็นหนึ่งในนายทหารเรือที่แสดงความไม่พอใจต่อสถานการณ์ดังกล่าว เขาเป็นผู้นำกลุ่มของตนในการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมือง และการปรับปรุงสภาพการทำงานของทหารเรือ
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 นายทหารเรือกลุ่มหนึ่งภายใต้การนำของลุยส์ กอนซากาส ได้ทำการก่อการกำเริบขึ้นในเมืองรีโอ เดอ จาเนโร สถานที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของประเทศ
การก่อการกำเริบครั้งนี้แพร่กระจายไปยังเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ และทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก
เหตุการณ์ การก่อการกำเริบของทหารเรือบราซิล
เหตุการณ์ | รายละเอียด |
---|---|
การเริ่มต้นการก่อการกำเริบ | นายทหารเรือกลุ่มหนึ่งในรีโอ เดอ จาเนโร ยกธงต่อต้านรัฐบาล และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมือง |
การแพร่กระจายของการก่อการกำเริบ | การก่อการกำเริบได้กระจายไปยังเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ และทหารเรือจากหลายฐานทัพได้เข้าร่วมในการต่อสู้ |
การลงโทษนายทหารเรือผู้ก่อการกำเริบ | รัฐบาลตอบโต้การก่อการกำเริบด้วยความรุนแรง และนายทหารเรือจำนวนมากถูกจับกุมและลงโทษ |
แม้ว่าการก่อการกำเริบของทหารเรือในปี ค.ศ. 1920 จะล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง แต่ก็มีผลกระทบอย่างสำคัญต่อประวัติศาสตร์บราซิล การก่อการกำเริบครั้งนี้เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1930 ซึ่งนำไปสู่การโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยเก่า และการสถาปนา chế độเผด็จการทหาร
นอกจากนั้น การก่อการกำเริบของทหารเรือยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความไม่พอใจของชนชั้นแรงงานและความต้องการการปฏิรูปทางสังคมและการเมืองในบราซิล
ลุยส์ กอนซากาส เป็นตัวแทนของกลุ่มนายทหารเรือผู้กล้าหาญ ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและความเป็นธรรมของตน แม้ว่าเขาจะถูกประหารชีวิตหลังจากการก่อการกำเริบ แต่ก็ยังคงเป็นที่จดจำในฐานะวีรบุรุษของประเทศ